Fitbit Charge 4 เป็นเครื่องวัดระดับการออกกำลังกาย fitness tracker รุ่นล่าสุดจาก Fitbit มาพร้อมกับคุณสมบัติที่โดดเด่นอย่าง GPS ในตัว และเครื่องวัดระดับการเต้นของหัวใจ
เครื่องตรวจจับการเคลื่อนไหวรุ่น Charge เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานได้อย่างครบครันในทุกการเคลื่อนไหว ด้วยการยกระดับจากรุ่น Inspire HR พร้อมวัดระดับการเคลื่อนไหวในระหว่างการออกกำลังกายที่เป็นโหมดการใช้งานเฉพาะ สามารถควบคุมการเล่นเพลงได้ และยังมีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น จึงเป็นรุ่นที่ดีที่สุดจาก Fitbit ในรูปแบบสายรัด
นอกจากการเพิ่ม GPS เข้าไปในเครื่องแล้ว Fitbit ยังพัฒนาให้รุ่น Charge 4 เป็นรุ่นที่ดีที่สุดที่สามารถสร้างสรรค์ได้ ด้วยการปรับปรุงขนาด ดีไซน์ และหน้าจอ การแข่งขันสมาร์ทวอทช์ในตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึง แต่ก็ไม่มีผู้ผลิตเจ้าอื่นพัฒนาคุณสมบัติและลูกเล่นมาต่อสู้กับ Fitbit Charge 4 รุ่นนี้ ทำให้กลายเป็นรุ่นยอดนิยมในตลาดได้อย่างง่ายดาย
Fitbit Charge 4 ทำให้คุณได้เข้าใจว่าการมีสมาร์ทวอทช์ช่วยให้ประสบการณ์ในการติดตามผลการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุด แม้ว่าคุณสมบัติใหม่ ๆ มากมายจะมาในรุ่น Fitbit Versa 2 แต่นอกจากฮาร์ดแวร์เดิมแล้ว รุ่น Charge 4 ก็ยังมีคุณสมบัติมากมายที่ผสมผสานกัน ทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพเป็นเอกลักษณ์
- Fitbit Charge 4
- #1
- Fitbit Sense
- #2
- Fitbit Versa 3
- #3
คุณสมบัติสำคัญของ Fitbit Charge 4
- บันทึกจำนวนก้าว อัตราการเต้นของหัวใจ และการนอนหลับ
- ทำงานด้วย GPS ในตัว
- บันทึกค่าอ็อกซิเจนในเลือก
- ใช้แบตเตอรี่ได้นานต่อเนื่อง 7 วัน
- มีระบบ Fitbit Pay
- แจ้งเตือนข้อมูลสำคัญ
- ควบคุมการเล่น Spotify ได้
- บันทึก VO2 Max
- มีโหมดการใช้งานเพื่อบันทึกข้อมูลการออกกำลังกาย
ดีไซน์ของ Fitbit Charge 4
ดีไซน์ของรุ่น Charge 4 เป็นบอดี้ที่อิงจากรุ่น Charge 3 โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นข้อดีเพราะทำให้คุณมีอุปกรณ์ที่ดูดีและสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบาย และเราเชื่อว่าเป็นดีไซน์ที่เหมาะสม แม้ว่าผู้อ่านหลายคนอาจจะรู้สึกว่าควรออกแบบใหม่ให้บางลงกว่าเดิม คุณก็ยังสามารถเลือกสายรัดสำหรับรุ่น Charge 4 ที่คุณชอบได้ในราคาที่เหมาะสม
- อ่านรีวิว Fitbit Sense ฉบับเต็มของเรา
ถึงตัวบอดี้จะมีข้อดีหลายอย่าง แต่การเลือกใช้หน้าจอแบบเดิมร่วมกับบอดี้แบบเดิม ถือเป็นข้อเสียข้อแรก
ตอนที่มีการเปิดตัวรุ่น Charge 3 ในปี 2018 หน้าจอสัมผัสความละเอียด 60×100 พิกเซลถือเป็นเทคโนโลยีที่มีคุณภาพในเวลานั้น แต่ในปี 2020 หน้าจอเดิมนี้กลายเป็นฟังก์ชั่นที่ไม่โดดเด่นอีกต่อไป คุณภาพไม่คมชัด แสงทึบ และอ่านยากในพื้นที่ที่มีแสงธรรมชาติส่องสว่าง นอกจากนี้ยังไม่สามารถใช้งานได้ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ผู้ใช้หลายคนรู้สึกผิดหวัง
ระยะเวลาการใช้แบตเตอรี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรปรับปรุงให้มีมากขึ้น เพราะ Fitbit รุ่นนี้ไม่สามารถแสดงผลบนหน้าจอได้ตลอดเวลา เนื่องจากกระจายพลังงานได้ไม่นาน ในการใช้งานทั่วไป รุ่นนี้ยังมีเวลาแบตเตอรี่เจ็ดวันเหมือนเดิมกับรุ่นเก่าอย่าง Charge 3
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรารู้สึกว่าควรปรับปรุงจากเดิมในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา
- นาฬิกากีฬาที่ดีที่สุดจากรีวิวของเรา
- สมาร์ทวอทช์ที่ดีที่สุดจากรีวิวของเรา
ระบบควบคุมหน้าจอสัมผัสสามารถทำงานได้ดี และมีปุ่มสัมผัสด้านข้างที่ใช้ควบคุมทำให้หน้าจอสว่างขึ้น กดเพื่อกลับไปยังหน้าเมนูหน้าแรก หรือเริ่มและหยุดการใช้งานโหมดออกกำลัง
สายรัดมีความสะดวกสบายและดีไซน์สวย ตัวล็อคมีความมั่นคง ไม่หลุดง่าย และอุปกรณ์ยังสามารถกันน้ำได้ลึก 50 เมตร คุณจึงมั่นใจได้สำหรับการใช้งานในสระว่ายน้ำ
Fitbit Charge 4: ระบบ GPS สำหรับการวิ่งและการออกกำลังกาย
ความเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ในรุ่น Charge 4 จะเกี้ยวข้องกับการบันทึกข้อมูลการออกกำลังกาย เราจึงอยากเริ่มต้นด้วยโหมดการทำงานนี้
ตามการตั้งค่าดั้งเดิมของอุปกรณ์ การบันทึกข้อมูลการเล่นกีฬาของรุ่น Charge 4 จะครอบคลุมการวิ่ง (GPS) การปั่นจักรยาน (GPS) การว่ายน้ำ การวิ่งบนลู่ การออกกำลังกายกลางแจ้ง (GPS) และการเดิน (GPS) เนื่องจากอุปกรณ์รุ่น Charge 4 นี้สามารถตั้งค่าโหมดออกกำลังกายได้มากที่สุดเพียงหกโหมดเท่านั้น
- นาฬิกาวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ดีที่สุดที่แม่นยำจริงๆ
- Samsung Galaxy Watch ที่ดีที่สุดสำหรับปีนี้
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายที่ครบถ้วนแบบอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็น HIIT การออกกำลังแบบ circuit tracking การปั่นจักรยาน การยกน้ำหนัก หรือแม้แต่การเล่นกอล์ฟ โดยเข้าไปที่แอปพลิเคชัน Fitbit เลือกบัญชีผู้ใช้ > Charge 4 > Exercise Shortcuts เลื่อนหน้าจอไปทางซ้ายเพื่อลบรายการกีฬาออก และเพิ่มกิจกรรมอื่นจากรายการเข้าไปแทน
การออกกำลังกายพร้อมกับระบบ GPS ช่วยบันทึกระยะทาง จังหวะ ความเร็ว เวลา จังหวะการเต้นของหัวใจ ส่วนการออกกำลังกายประเภทอื่น เช่นการยกน้ำหนัก จะมีการบันทึกผลเป็นเวลา พลังงานที่เผาผลาญ จังหวะการเต้นของหัวใจ และจะไม่บันทึกข้อมูลรอบออกกำลังกาย หรือข้อมูลที่เจาะจงพิเศษมาก รูปแบบข้อมูลที่บันทึกเป็นตัวอย่างที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้งาน คุณสามารถดูรูปแบบการออกกำลังกายได้ตามที่ระบุในแอปพลิเคชัน
อุปกรณ์ตระกูล Charge ทุกรุ่นบันทึกข้อมูลการวิ่งได้ แต่ในรุ่นก่อนหน้านี้จะต้องมีการเชื่อมต่อร่วมกับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานระบบ GPS ไปพร้อมกัน ทำให้มีปัญหาเรื่องความแม่นยำของตำแหน่งโทรศัพท์เพิ่มมากขึ้น ตอนนี้คุณสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนแล้ว เราลองวิ่งกับรุ่น Charge 4 และพบว่าตำแหน่งที่อยู่มีความแม่นยำสูงด้วยการใช้งานระบบ GPS (ซึ่งเราได้เปรียบเทียบผลลัพธ์กับทั้ง Apple Watch และนาฬิกานักวิ่งของ Garmin)
- รีวิว smart watch ผู้หญิง ที่ดีที่สุด
ส่วนแบตเตอรี่ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงอยู่มาก แม้จะมีข้อมูลว่าแบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ห้าชั่วโมงร่วมกับการใช้งานระบบ GPS แต่ในการทดลองใช้งานของเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น แบตเตอรี่ของเราลดลงมากกว่า 30% ในการวิ่งภายในระยะเวลา 45 นาที ในการทดสอบที่แตกต่างกันทั้งสามครั้ง ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นคุณจึงต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของคุณมีแบตเตอรี่มากกว่า 50% ก่อนจะออกไปวิ่งทุกครั้ง
- Sleep Trackers ที่ดีที่สุดในการปรับปรุงการนอนหลับของคุณ
การวิ่งของคุณจะถูกบันทึกลงบนแอป Fitbit และมีการแสดงผลที่สวยงาม คุณสามารถตรวจดูระยะการวิ่งได้เป็นกิโลเมตรหรือไมล์ และจังหวะการเต้นของหัวใจของคุณที่เราจะอธิบายข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป Fitbit ไม่ค่อยเหมาะกับนักวิ่ง เพราะการออกกำลังกายทั้งหมดถูกตั้งค่าเอาไว้ คุณจึงอาจเจอข้อมูลบันทึกการเดินที่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิ่งของคุณ และคุณไม่สามารถดูข้อมูลเพื่อตรวจสอบพัฒนาการในการวิ่งได้ ข้อมูลที่บันทึกจะแสดงผลที่ส่งต่อสุขภาพกายของคุณเท่านั้น
กลุ่มเป้าหมายหลักของผู้ใช้ Charge 4 จึงน่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการออกกำลังกายและวิ่งผสมผสานกันเพื่อดูแลรักษาสุขภาพ และใช้งานฟังก์ชันที่หลากหลาย ถ้าคุณเป็นนักวิ่งที่ลงแข่ง และอยากติดตามการเปลี่ยนแปลงว่าคุณสามารถวิ่งได้ดีขึ้นมากแค่ไหน อุปกรณ์นี้ยังไม่ตอบโจทย์กับความต้องการของคุณมากเพียงพอ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการติดตามอัตโนมัติ (auto-tagging): การวิ่งและเดินที่มีการบันทึกผลโดยอัตโนมัติเป็นกิจวัตรและบันทึกลงแอปพลิเคชัน เราได้ลองใช้อุปกรณ์ระหว่างการออกกำลังกาย HIIT แต่พบว่าอุปกรณ์กลับไม่ได้ติดตามผลการออกกำลังกายนี้ แม้ว่าจะมีการบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจ และเราได้ใช้งานเคลื่อนไหวต่อเนื่อง
Fitbit Charge 4: จังหวะการเต้นของหัวใจ
การบันทึกข้อมูลพื้นฐานของจังหวะการเต้นหัวใจในรุ่น Charge 4 ถือว่ามีความแม่นยำค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามเมื่อจัวหวะการเต้นของหัวใจมีความเร็วสูงสุด (เปรียบเทียบกับการตั้งค่าในอุปกรณ์ทั่วไป) คุณอาจจะรู้สึกผิดหวังได้ เราลองทำการทดลองใช้หลายครั้งและรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ แม้ในอัตราการเต้นที่ 190 bpm เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้งานด้วยสายรัดหน้าอก
อุปกรณ์ไม่สามารถบันทึกผลได้ดีนักเมื่อจังหวะการเต้นของหัวใจมีอัตราเพิ่มขึ้นและลดลงสลับกันอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงได้อย่างครอบคลุม ในจุดนี้เราพบว่า Apple Watch Series 5 สามารถทำงานได้ดีกว่า
คุณจะเห็นได้ว่าในการออกกำลังกายเปรียบเทียบด้านล่าง เราได้ลองเร่งการทำงานของอุปกณณ์ด้วยการวิ่งลงจากเขาสามครั้งติดต่อกันเมื่อวิ่งไปได้ครึ่งทาง สายคาดหน้าอกสามารถติดตามการขึ้นอย่างรวดเร็วเหล่านั้นได้ดี ในขณะที่รุ่น Charge 4 ไม่สามารถบันทึกข้อมูลแบบนี้ได้
อย่างไรก็ตาม คุณจะเห็นว่าข้อมูลที่บันทึกจากอุปกรณ์ทั้งสองแบบมีความใกล้เคียงกันสูงมาก แม้แต่อัตราการเร่งของหัวใจในช่วงท้ายของการวิ่ง และจังหวะหัวใจที่ลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อนักวิ่งหยุดพัก
เซ็นเซอร์ Fitbit’s SpO2 สามารถทำงานได้ดีอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้คุณมองเห็นข้อมูลค่าอ็อกซิเจนในเลือดได้จากในแอปพลิเคชัน และยังสามารถเลือกดูข้อมูลวิเคราะห์การนอนหลับได้จาก เมนู Restoration อีกด้วย
อัตราการเต้นของหัวใจเป็นส่วนหลักที่สำคัญกว่าเดิมของรุ่น Fitbit Charge 4 ด้วยการใช้งาน Active Zone Minutes ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกผล แทน Active Minutes บนรุ่น Charge 4 (ที่เคยมีเป้าหมาย 30 นาทีต่อวัน) เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มความสามารถมากยิ่งขึ้น แม้ว่าข้อมูลที่บันทึกจะค่อนข้างซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ในความคิดเห็นของเรา
ข้อมูลที่เป็นหลักฐานเรื่องนี้ มาจาก World Health Organisation (องค์การอนามัยโลก) และ American Heart Association ที่แนะนำให้ออกกำลังกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์หรือออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 75 นาที
ตอนนี้ Fitbit ใช้โซนอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อกำหนดให้การออกกำลังกายของคุณแต่ละนาที เป็นรางวัลในการใช้งาน: หากคุณเข้าไปในโซนเผาผลาญไขมันเป็นเวลา 1 นาที คุณจะได้รับรางวัลอีก 1 นาที
ก่อนหน้านี้ การใช้งานนี้เป็นข้อมูลที่ทำให้คนที่ออกกำลังกายบ่อยเสียเปรียบ เพราะพวกเขาจะได้รางวัลเป็นจำนวนนาทีในการออกกำลังกาย HIIT เท่ากันกับคนที่ออกไปไปเดินเร็ว ๆ ในระยะเวลาเดียวกัน ดังนั้น ถ้าคุณเข้าใช้งานในโซนคาร์ดิโอหรือการออกกำลังกายที่หนัก คุณจะได้รับรางวัลสำหรับการออกกำลังกายทุกนาที เพิ่มเป็น 2 นาทีแทน
นอกจากนี้ จากเดิมคุณต้องทำกิจกรรมสิบนาทีเพื่อรับ Active Minutes ตอนนี้ถ้าคุณเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจเป็นเวลาหนึ่งนาที คุณจะได้รับ Active Zone Minute หนึ่งนาที
การใช้งานในโซนต่าง ๆ จะคำนวณจากข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจของคุณเอง โดยใช้จังหวะการเต้นหัวใจขณะที่คุณพักผ่อน เป็นตัววัดความฟิตของร่างกาย และใช้อายุของคุณคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ซึ่งหมายความว่าเป้าหมายของคุณจะถูกปรับให้เข้ากับระดับความฟิต และจะมีการปรับต่อเนื่องอัตโนมัติเมื่อคุณแข็งแรงมากขึ้น เป็นระบบที่ชาญฉลาดมาก และเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการใช้ข้อมูลของ Fitbit เพื่อช่วยให้ทุกคนบรรลุเป้าหมายที่ดียิ่งขึ้น
แต่ก็มีปัญหาเล็กน้อยอยู่หนึ่งข้อ
ทางองค์การอนามัยโลกได้แนะนำเป้าหมายสำหรับแต่ละอาทิตย์ แต่การคำนวณของ Charge 4 เป็นการคำนวณรายวัน หน่วยวัดผลใน Active Zone Minutes ระบุว่าเป็นการบันทึกผลจากจำนวน 22 หน่วย หากคุณสงสัยว่า 22 หน่วยเป็นการคำนวณจากอะไร
นั่นคือจำนวนเลขโดยประมาณเมื่อคำนวณการออกกำลังกายในระยะเวลา 7 วัน ด้วยระยะเวลารวม 150 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งแม้ว่าเป้าหมายนี้จะเป็นเป้าหมายรายสัปดาห์ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้งานมากนัก เพราะการคำนวณนี้ใช้สำหรับแสดงผล
Fitbit ไม่ใช่อุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับการบันทึกเป้าหมายรายสัปดาห์ ถ้าคุณอยากใช้งาน จะต้องเข้าไปดูที่เมนู Active Zone Minutes ในหน้าหลัก และเลือกสัปดาห์ จากนั้นจึงเลื่อนไปทางซ้ายเพื่อดูกราฟข้อมูลที่บันทึกระหว่างวันอาทิตย์ถึงวันเสาร์
คุณสามารถเปลี่ยนเป้าหมาย Active Zone Minutes ของคุณได้และสามารถเลือกแยกเป้าหมายรายวันกับรายสัปดาห์ได้ด้วย ซึ่งทาง Fitbit ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานส่วนนี้เพื่อให้มีข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นบนแอปพลิเคชัน
ความเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยปรับปรุงสถานการณ์ได้บางส่วน แต่ยังคงบันทึกเป้าหมายประจำวันจากข้อมือของคุณ ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้งานเป้าหมายแบบไหน คุณสามารถอ่านคำแนะนำของเราเกี่ยวกับวิธีการใช้งาน กดเปลี่ยนและ Active Zone Minutes ของคุณได้
Fitbit Charge 4: การบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายและการนอน
ในช่วงต้นของบทความ เราได้กล่าวไว้ว่า Fitbit ไม่ได้ตั้งใจพัฒนา Charge 4 ให้ดีที่สุดเท่าที่ควรทำ แต่ก็ยังคงสายรัดติดตามการออกกำลังกายอันดับต้น ๆ ในท้องตลาด
นั่นเป็นเพราะข้อมูลของ Fitbit น่าสนใจกว่าของคู่แข่งส่วนใหญ่ และอ่านข้อมูลในแดชบอร์ดทำให้คุณได้สัมผัสกับข้อมูลของคุณได้อย่างแท้จริง แม้ว่าภาพวงแหวนแสดงผลกิจกรรมของ Apple Watch อาจจะเป็นการแสดงผลภาพเป้าหมายรายวันที่ดีที่สุด แต่ Fitbit สามารถแสดงความคืบหน้าของคุณในรายสัปดาห์และรายเดือนได้ดีกว่า
การใช้งานในปัจจุบันของคุณถูกจัดวางไว้ที่ด้านบนสุด คุณจึงสามารถดูข้อมูลได้อย่างรวดเร็วว่าคุณออกกำลังกายไปเท่าไหร่ มีอัตราการเต้นของหัวใจระหว่างพักผ่อนและสูงสุดเท่าไหร่ รวมถึงข้อมูลอย่าง น้ำหนัก อัตราการดื่มน้ำ และทานอาหาร
ลองกดเข้าไปดูข้อมูลซักหัวข้อ คุณจะได้เห็นความก้าวหน้าตามระยะเวลา เช่น ข้อมูลการนอนหลับที่ให้เห็นอย่างชัดเจนในระยะเวลาเจ็ดวัน ไม่ได้แยกตามครั้ง ส่วนกราฟมีความชัดเจนมาก ถือเป็นแอปพลิเคชันที่ยอดเยี่ยม
การติดตามคุณภาพในการนอนหลับถือเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในวงการนี้ และเป็นหนึ่งในไม่กี่ระบบที่จะเพิ่มเวลาในการตื่นนอนเข้าไปด้วย การสะดุ้งขณะนอนหลับและการพลิกตัวถือเป็นส่วนสำคัญของช่วงกลางคืน และจะไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพการนอน ดังนั้นอุปกรณ์นี้จะเข้มงวดในการวัดระดับการนอนของคุณกว่าบนอุปกรณ์อื่น ๆ
คุณจะได้รับคะแนนรวมสำหรับการนอนหลับของคุณ และหากคุณใช้ Fitbit Premium คุณสามารถดูวิธีคำนวณได้ด้วย พร้อมกับรายละเอียดของเวลาที่คุณตื่น เวลาที่คุณหลับลึก จังหวะที่ยังหลับไม่สนิทมาก และช่วงพักฟื้น
หากไม่มีห้องแล็บตรวจสอบการนอนหลับ ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าการทำงานนี้มีความแม่นยำแค่ไหน แต่การนอนของคุณสามารถส่งผลต่อตัวเลขได้อย่างแน่นอน และคุณจะเห็นผลกระทบของปัจจัยอื่น เช่น แอลกอฮอล์ และการเข้านอนตอนดึก และนั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่สำคัญ Fitbit จึงช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับของคุณได้มากกว่าระบบอื่น ๆ ที่เราเคยใช้
การติดตามสุขภาพของผู้หญิงเป็นส่วนหนึ่งของแอปนี้ และคุณสามารถติดตามรอบประจำเดือนของคุณได้อย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถบอก Fitbit ได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าแปลกมาก และเราเชื่อว่าหากมีการใช่สีสันในข้อมูล และเพิ่มการใช้งานที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อผู้ใช้
Fitbit Charge 4: คุณสมบัติสมาร์ทวอทช์
หน้าจอที่ใหญ่ของ Charge 4 ช่วยให้คุณได้รับการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนของคุณที่นำมาจับคู่กับอุปกรณ์ และแสดงผลได้ดีอย่างน่าประหลาดใจบนหน้าจอขนาด 1 นิ้ว
คุณจะได้รับการแจ้งเตือนทั้งสำหรับการโทรและข้อความ รวมถึงข้อมูลจากปฏิทิน อย่างไรก็ตาม การแจ้งเตือนข้อความ WhatsApp ยังคงไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งเราเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลนี้
ปัจจุบันมีการรองรับการใช้งาน Fitbit Pay แล้ว และยังใช้งานกับธนาคารได้ไม่ดีนัก แม้ว่าจะรองรับธนาคารใหญ่หลายเจ้าในประเทศสหรัฐอเมริกา
มีการสนับสนุนเพื่อควบคุมการเล่นเพลงบน Spotify บนอุปกรณ์ของคุณ (แม้ว่าจะไม่ได้มีการจัดเก็บแอปนี้ก็ตาม) ในเมนูตั้งค่า คุณสามารถเปิดใช้งานแอป Spotify ได้ (ตัวแอปมีการติดตั้งมาล่วงหน้า และคุณต้องกรอกข้อมูลลงชื่อเข้าใช้) คุณสามารถควบคุมการเล่นได้ โดยเลือกเพลงจากในเพลย์ลิสต์ เลือกเพลงถัดไปหรือเพลงก่อนหน้า หรือควบคุมตำแหน่งที่เล่นเพลงจากรายการอุปกรณ์ Spotify Connect บนเครือข่ายของคุณก็ได้
อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถควบคุมเพลงได้เมื่อคุณเปิดการบันทึกการออกกำลังกาย คุณอาจจะต้องการควบคุมเพลงบนจอแสดงผล 60 x 100 พิกเซล เมื่อโทรศัพท์ของคุณเก็บไว้ระหว่างการออกกำลังกาย แต่ก็ไม่สามารถใช้งานส่วนนี้ได้ ทำให้การมีแอปไม่ได้ช่วยให้การใช้งานมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ได้เฉพาะ Spotify Premium เท่านั้น ถ้าคุณใช้บริการอื่นก็ไม่สามารถควบคุมการเล่นเพลงได้เลย
Fitbit Charge 4: ความคุ้มค่าของราคาและคู่แข่งอื่น ๆ
ถ้าลองเพิ่มขนาดของอุปกรณ์แบบนี้ จะเป็นยังไง และคุณมีตัวเลือกอื่น ๆ เป็นอุปกรณ์อะไรบ้าง
เราจะสมมติว่าคุณมีสมาร์ทวอทช์ที่ลดราคาตัวอื่น ๆ เป็นตัวเลือกเนื่องจากความชอบส่วนตัว หรือว่าคุณกำลังพิจารณา Fitbit Versa 2 (ประมาณ 6,000 บาท), Apple Watch Series 3 (ประมาณ 6,000 บาท) หรือ Amazfit GTS (ประมาณ 4,500 บาท) ทำให้มีราคาที่หลากหลาย
Inspire HR ช่วยมอบประสบการณ์ที่เรียบง่ายยิ่งขึ้น โดยยังคงมีการติดตามการนอนหลับที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีการติดตามการออกกำลังกาย ค่าออกซิเจนในเลือด และระบบ GPS สำหรับ Xiaomi Mi Band 4 เป็นอุปกรณ์ที่ดูดีกว่า และมีราคาถูกกว่า แต่ก็ไม่มี GPS ในตัวและแอปพลิเคชันไม่ค่อยดีนัก
สำหรับคุณสมบัติที่คล้ายเคียงกันมากที่สุด มีเพียง Garmin Vivosmart 4 (ที่ไม่มี GPS) หรือ Garmin Vivosport (ที่มี GPS แต่รูปทรงค่อนข้างน่าเกลียดและล้าสมัย) ที่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้
ข้อมูลสรุป
Fitbit Charge 4 ยังคงเป็นสายรัดติดตามการออกกำลังกายที่ดีที่สุด สำหรับคนที่ชื่นชอบการเคลื่อนไหว เพิ่มการติดตาม GPS ที่แม่นยำให้กับการใช้งาน ที่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอัตราการเต้นของหัวใจที่ดี มีการติดตามการนอนหลับที่ดีที่สุดในอุปกรณ์ระดับเดียวกัน และ Active Zone Minutes ด้วยคุณสมบัติที่ผสมผสานกันนี้ ทำให้เป็นรุ่นที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุดในตลาดอุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกาย ด้วยระบบการใช้งานภายในและการวิเคราะห์ของ Fitbit รวมถึงคุณสมบัติยอดเยี่ยมอีกมากมาย จึงถือเป็นรุ่นดีที่สุด แต่การที่ Fitbit ตัดสินใจว่าจะไม่ปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ หน้าจอ อินเทอร์เฟซ ระบบสนับสนุนการแจ้งเตือน หรือดีไซน์ ทำให้เราเข้าใจว่านี่คือเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่ทางผู้ผลิตมี ทั้งที่อาจจะพัฒนาให้โดดเด่นได้มากกว่านี้ แต่โดยรวมก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นรุ่นที่ดีที่สุด
ข้อดี
- มีระบบ GPS ในตัว
- ออกแบบให้ใช้งานได้สะดวกสบาย
- มีความแม่นยำ
ข้อเสีย
- ภาพหน้าจอพิกเซลแตก
- การใช้ GPS ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว