iPhone 13 Pro ที่ใช้งานได้อย่างมือโปรสมชื่อ
แม้ว่าทีมงานของเราจะได้ทำการทดสอบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมากมายจากหลายแบรนด์ในหลายปีที่ผ่านมา แต่ iPhone 13 Pro ถือเป็นหนึ่งในโทรศัพท์ที่ดีที่สุดที่เราได้รีวิว อุปกรณ์รุ่นล่าสุดของ Apple รุ่นนี้ได้ยกระดับมาตรฐานขึ้นกว่าเดิม ทำให้ใช้งานได้ราบรื่นไร้ที่ติ มีข้อควรปรับปรุงเล็กน้อยคือขาด Touch ID และมีการจำกัดความเร็วในการชาร์จอยู่ที่ 20W
แต่ข้อปรับปรุงเหล่านั้นก็เป็นสิ่งเล็กน้อย เมื่อเทียบกับคุณสมบัติอื่น ๆ ของ iPhone 13 Pro ที่มาพร้อมกับจอแสดงผล OLED 120Hz ที่ยอดเยี่ยมและสว่างขึ้น ชิปเซ็ต A15 Bionic อันทรงพลัง และดีไซน์บางเฉียบ ดูทันสมัย กับหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว
คุณสมบัติระหว่างรุ่นนี้กับ iPhone 13 Pro Max ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ทั้งสองรุ่นมีสามารถซูมเทเลโฟโต้ได้เหมือนกัน และ iPhone 13 ทั้งสี่รุ่นยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่เปลี่ยนเซ็นเซอร์ได้อัตโนมัติ คุณจึงจะได้รับการใช้งานที่ครบถ้วนบน iPhone 13 Pro ในราคาที่ถูกกว่าและขนาดที่เล็กกว่า
ในรีวิว iPhone 13 Pro นี้ เราจะได้มาแนะนำคุณสมบัติต่าง ๆ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าทำไมโทรศัพท์รุ่นนี้ถึงเป็นหนึ่งในโทรศัพท์ที่ดีที่สุดที่คุณสามารถซื้อได้ในปี 2022 และยังเป็นรุ่นที่ดีที่สุด สำหรับคนที่ชอบหน้าจอเล็ก
สำหรับคนที่สนใจรุ่นอื่น ๆ คุณสามารถอ่านรีวิวฉบับเต็มได้ทั้ง iPhone 13 Pro Max, iPhone 13 และ iPhone 13 mini
- Samsung Galaxy S23 Ultra
- #1
- iPhone 14 Pro Max
- #2
- OnePlus 11
- #3
รีวิว iPhone 13 Pro: ราคาและวันที่จำหน่าย
iPhone 13 Pro มีวางจำหน่ายแล้วผ่าน Apple และผู้ให้บริการเครือข่ายชั้นนำ เช่นเดียวกับรุ่นอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ สำหรับรุ่น iPhone 13 Pro มีราคาเริ่มต้นที่ 38,900 บาท พร้อมพื้นที่จัดเก็บ 128GB
หากคุณต้องการพื้นที่จัดเก็บมากขึ้น สามารถเลือกซื้อรุ่นอื่น ๆ ได้ดังต่อไปนี้ ตั้งแต่ 256GB ราคาเริ่มต้น 42,900 บาท 512GB ราคา 50,900 บาท และสูงสุด 1TB ราคา 58,900 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับราคาของ MacBook Pro ขนาด 13 นิ้วพร้อมฮาร์ดไดรฟ์ 512GB และชิป M1
- โทรศัพท์ราคาถูกที่ดีที่สุดสำหรับทุกงบประมาณ
- iPhone 13 กับ iPhone 12: มีความแตกต่างอย่างไรบ้าง
- iOS กับ Android: ระบบไหนที่เหมาะกับคุณ?
รีวิว iPhone 13 Pro: การออกแบบ
การออกแบบโดยรวมของ iPhone 13 Pro ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมมากนัก หลายคนจึงอาจรู้สึกเหมือนใช้โทรศัพท์รุ่นเก่า ๆ ซ้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Apple ยังติดกับอยู่ ดีไซน์ในรุ่นนี้จึงออกมาแบบเดิม และเน้นการปรับปรุงที่การแสดงผล กล้องถ่ายรูป และการใช้งานด้านอื่น ๆ
iPhone 13 Pro มีดีไซน์ที่คล้ายคลึงกับ iPhone 12 Pro เป็นอย่างมาก แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญสองประการ คือกรอบเลนส์กล้องที่ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัดและขอบหน้าจอด้านหน้าที่เล็กกว่า เมื่อคุณวางโทรศัพท์บนพื้นราบหรือบนโต๊ะโดยเอาด้านหลังวางลง จะเห็นได้ชัดว่าส่วนเลนส์ทำให้โทรศัพท์เอนขึ้นมา
แต่ขอบหน้าจอที่เล็กลงก็ทำให้ใช้งานได้ดีขึ้น โดย Apple กล่าวว่ามีขนาดเล็กกว่าเดิมประมาณ 20% คุณจะรู้สึกได้ถึงพื้นที่หน้าจอที่มากขึ้นเช่นกันเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro
การลดขนาดขอบหน้าจอแบบนี้ถือเป็นการปรับปรุงที่ดีสำหรับ Apple แต่ก็ยังมีข้อเสียในการใช้งานของ Face ID พ่วงมาด้วย เพราะจะต้องเปิดหน้าทั้งหมด ไม่สามารถใช้กับหน้ากากได้ ทำให้เราไม่ได้เห็นการเทคโนโลยี TrueDepth เพื่อแสกนใช้งานใต้จอแสดงผลในรุ่นนี้
โครงสแตนเลสของ iPhone 13 Pro ทำให้รุ่นนี้มีสัมผัสที่แข็งแกร่ง และหนักกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณควรระมัดระวัง ทีมงานของเราได้ลองใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ในระยะเวลาไม่นานนัก แต่ก็รู้สึกได้ถึงอาการปวดเมื่อยเล็กน้อยบริเวณข้อมือและนิ้วก้อย เมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่เรารู้สึกว่าควรมีการปรับปรุงอย่างมากใน iPhone 13 Pro คือ Touch ID มีข่าวลือว่า Apple กำลังทดสอบเทคโนโลยีใช้ลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบโทรศัพท์ Android ที่ดีที่สุดหลาย ๆ รุ่นที่นิยมใช้ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทำให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา น่าเสียดายมาก ๆ ที่ Apple ไม่ได้ออกแบบมารองรับจุดนี้ ทำให้การใช้ Face ID ยังเป็นปัญหา แม้ว่าหลายคนที่มี Apple Watch ที่เปิดตัวกับ iOS 14.5 จะเข้าใช้งานผ่านอุปกรณ์นี้แทน แต่การทำงานก็ยังไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก
- โทรศัพท์ Android ที่ดีที่สุดในตอนนี้
- iPhone 13 Pro vs iPhone 13 Pro Max: รุ่นไหนดีกว่า
รีวิว iPhone 13 Pro: กล้องถ่ายรูป
iPhone 13 Pro มาพร้อมกับกล้องหลัง 12MP สามตัว มีเลนส์เทเลโฟโต้โฟกัส 77 มม. และการซูมออปติคอล 3 เท่า กล้องหลักมีเซนเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้นและรูรับแสงกว้างขึ้นที่ f/1.5 จึงสามารถเปิดรับแสงให้รูปดูสว่างสวยมากกว่าเดิม
เลนส์อัลตร้าไวด์ 120 องศา ความละเอียด 12MP ก็มีเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีโฟกัสอัตโนมัติเพื่อการถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษที่ให้ภาพคมชัดยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย
เราได้ลองเปรียบเทียบกล้องของ iPhone กับ Galaxy S21 Plus พบว่ากล้องตัวหลังให้ภาพที่สีจางกว่าอย่างเห็นได้ชัด โฟกัสของ iPhone นั้นให้รายละเอียดที่คมชัดกว่ามาก และสีคอนทราสต์ก็สดกว่าด้วย
ในการทดสอบของเรา พบว่าใช้ iPhone ถ่ายรูปในแสงจ้าได้ดีมาก ภาพมีความแสงสว่างเพียงพอ และยังมีรายละเอียดครบถ้วน ดูมีมิติ ต่างกับรูปจาก S21 Plus ที่สว่างน้อยกว่า และไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม โฟกัสของ Samsung ก็ดูนุ่มนวลกว่า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้
สำหรับการถ่ายภาพบุคคลในระยะใกล้ กล้องของ iPhone 13 Pro มีเอฟเฟ็กต์โบเก้รอบ ๆ ใบหน้าอย่างชัดเจน ทำให้พื้นหลังที่เหลือดูเบลอ แต่รูปที่ได้ยังโดดเด่น มีศิลปะ ใบหน้ามีรอยแดงจากแดดและอากาศที่ร้อนอบอ้าวในวันนั้น จึงไม่ถือเป็นความผิดพลาดของกล้องแต่อย่างใด รูปที่ได้จาก Galaxy S21 Plus ไม่ได้มีเอฟเฟกต์แบบเดียวกัน เบลอพื้นหลังได้น้อยกว่า ทำให้คนที่เป็นแบบไม่โดดเด่นเท่า นอกจากนี้ยังมีการปรับผิวที่มากเกินไป ผิวจึงดูเรียบผิดธรรมชาติ
เมื่อลองใช้ถ่ายภาพหลอดไฟ ก็ได้เห็นว่า iPhone สามารถปรับโทนสีได้อย่างเหมาะสมและให้โฟกัสที่คมชัด ต่างกับ S21 Plus ที่มีปัญหากับซอฟต์โฟกัสและคอนทราสต์ที่ไม่สมจริงเท่าไหร่ ภาพจึงดูไม่ค่อยมีมิติมากนัก
แม้ว่าคุณภาพของรูปถ่ายจาก S21 Plus จะไม่ได้แย่นัก แต่เมื่อเทียบกับอุปกรณ์อีกรุ่นที่โฟกัสและปรับระดับได้ลงตัว ก็ทำให้เห็นว่าโฟกัสและการปรับสีของ Samsung ดูจืดชืดและราบเรียบเกินไป
ผลลัพธ์จากการถ่ายภาพในโหมดกลางคืนนั้นไม่ได้เป็นเหมือนโหมดอื่น ๆ เราเข้าใจว่าโหมดกลางคืนของ iPhone 13 Pro น่าจะดีกว่า Galaxy S21 Plus แต่ความแตกต่างในโหมดนี้ คือภาพของ S21 Plus นั้นสว่างกว่าของ iPhone เหนือความคาดหวัง และยังมีความคมชัดที่ดีกว่าด้วย จึงเป็นจุดที่ iPhone พ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม iPhone 13 Pro มีกล้องหน้า 12MP ที่รองรับเซลฟี่โหมดกลางคืน พร้อมปรับระดับโทนสีภาพได้อย่างเหมาะสมระหว่างการทดสอบ เป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ส่วน Galaxy S21 Plus ให้ภาพโทนสีเย็นกว่า มีความสว่างขึ้นเล็กน้อย และมีการปรับแสงพื้นหลังได้ดีกว่า iPhone
รีวิว iPhone 13 Pro: การถ่ายวิดีโอ
iPhone เป็นโทรศัพท์ที่คุณควรเลือกซื้อสำหรับการบันทึกวิดีโอที่มีคุณภาพ ถือเป็นจุดแข็งของอุปกรณ์นี้ในช่วงหลายปีที่ผ่าน สำหรับคุณสมบัติใหม่ใน iPhone 13 Pro คือ Cinematic Mode ซึ่งเป็นการถ่ายวิดีโอแนวตั้งที่ให้ผลลัพธ์แบบมืออาชีพ ใช้เอฟเฟกต์โบเก้ทำให้บุคคลหรือวัตถุดูโดดเด่น และปรับโฟกัสตามอัตโนมัติขณะใช้งาน
ไม่ว่าแบบของคุณจะเข้าหรือออกจากเฟรมตอนไหน กล้องก็สามารถจับภาพและขยับโฟกัสตามได้แบบไดนามิก หรือถ้าเปลี่ยนโฟกัสเป็นด้านหลัง iPhone 13 Pro ก็จะปรับตามทันที คุณสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p 30 fps การใช้โหมด Cinematic ร่วมกับ Neural Engine ของ A15 Bionic ทำให้คุณถ่ายวิดีโอได้อย่างมั่นใจ เชี่ยวชาญ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าผู้ใช้ทั่วไปจะใช้ประโยชน์จากมันบ่อยแค่ไหน
สำหรับการถ่ายวิดีโอแบบดั้งเดิม ก็สามารถใช้ iPhone 13 Pro ได้อย่างราบรื่น รองรับ Dolby Vision HDR ที่ความละเอียดสูงถึง 4K 60 fps และสามารถใช้ ProRes สำหรับการตัดต่อระดับมืออาชีพได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ProRes ใน 4K 30 fps มีเฉพาะใน iPhone 13 Pro รุ่น 256GB, 512GB และ 1TB เท่านั้น ส่วนรุ่น 128GB จะจำกัดความละเอียดที่ 1080p ที่ 30 fps เนื่องจากต้องใช้พื้นที่จัดเก็บไฟล์มาก
รีวิว iPhone 13 Pro: หน้าจอแสดงผล
ด้วยแผงหน้าจอ OLED ขนาดเดียวกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้ iPhone 13 Pro มีหน้าจอที่แสดงผลได้ละเอียดคมชัดในขนาด 6.1 นิ้ว ทาง Apple ได้เรียกเทคโนโลยีนี้ว่าเป็น Super Retina XDR เวอร์ชันล่าสุด ให้ภาพสวย สีสันสดใส มีความแตกต่างมากมาย และให้มุมมองที่น่าประทับใจ
ไม่ว่าคุณจะใช้เล่นเกมอนิเมะอย่าง Genshin Impact หรือดูภาพยนตร์ที่มีสีสันตัดกันชัดเจนแบบ Blade Runner 2049 ก็สามารถเห็นรายละเอียดและสีสันที่แม่นยำ จอภาพของ iPhone 13 Pro สามารถนำเสนอสื่อต่าง ๆ ได้ในทุกแง่มุม ไม่ว่าภาพนั้นจะมีสีอ่อนโยนหรือดูสดใสก็ตาม
เราได้ลองเปรียบเทียบการทดสอบเกณฑ์มาตรฐานของหน้าจอ iPhone 13 Pro เทียบกับ Galaxy S21 Plus และ iPhone 12 Pro ซึ่งได้ผลลัพธ์ดังนี้
iPhone 13 Pro | Galaxy S21 Plus (สีสด/สีธรรมชาติ) | iPhone 12 Pro
sRGB (%): 117 | 212 / 104 | 116
DCI-P3 (%): 83 | 150 / 74 | 82
Delta-E: 0.27 | 0.31 / 0.18 | 0.28
ความสว่าง (นิต): 1024 | 747 | 742
iPhone 13 Pro สามารถปรับความอิ่มตัวของสีได้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อน และมีคะแนน Delta-E ที่เป็นค่าความแม่นยำของสี ใกล้เคียงกับของ iPhone 12 Pro (ยิ่งคะแนนน้อยใกล้ 0 แปลว่ายิ่งแม่นยำ) สิ่งที่โดดเด่นคือความสว่างที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ได้ค่าในการทดสอบสูงถึง 1,024 นิต ซึ่งถือว่าให้หน้าจอที่สว่างมาก
แน่นอนว่าจุดเด่นที่น่าประทับใจที่สุด คืออัตราการรีเฟรชหน้าจอ ProMotion 120Hz บน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่มอบประสบการณ์ยอดเยี่ยมในการใช้งาน จอแสดงผลของ iPhone 13 Pro สามารถใช้ตามค่าที่เหมาะสมได้ตั้งแต่ 10Hz ถึง 120Hz โดยอัตโนมัติ ราบรื่น เข้ากับการใช้งาน และตอบสนองกับความเร็วในการสัมผัสจอเป็นอย่างดี
เมื่อคุณได้ลองใช้จอแสดงผล 120Hz บน iPhone 13 Pro ที่นุ่มนวลกว่าเดิมมาก ๆ แล้ว การจะกลับไปใช้จอภาพ 60Hz แบบเดิมก็อาจจะเป็นเรื่องยาก การใช้งานแตกต่างกับ 12 Pro อย่างเห็นได้ชัด เราชื่นชอบจอ ProMotion มากทั้งสำหรับการอ่านข้อความและดูภาพเคลื่อนไหวที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว ราบรื่น นอกจากนี้การใช้อีเมล์และการปลดล็อกโทรศัพท์ก็ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าด้วย
ทั้งนี้ มีหลาย ๆ แอปที่ประสบปัญหากับการใช้งานบนหน้าจอ ProMotion เพราะหน้าจอตั้งค่าที่ 60Hz ซึ่งอาจจะสูงหรือต่ำเกินไปกับกิจกรรมที่ใช้งาน แต่ทาง Apple ให้ข้อมูลว่าจะมีการแก้ไขพร้อมกับการอัปเดตซอฟต์แวร์ในเร็ว ๆ นี้
แม้ว่า iPhone 13 Pro อาจจะไม่ได้มีจอแสดงผลที่ดีที่สุดในตลาดเมื่อเทียบกับรุ่นพรีเมียมรุ่นอื่น ๆ แต่หน้าจอ ProMotion นั้นทำงานได้ดีมาก ๆ และเป็นผลลัพธ์ที่ดีในการพัฒนาหน้าจอที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
รีวิว iPhone 13 Pro: อายุแบตเตอรี่และการชาร์จ
เราไม่ทราบความจุของแบตเตอรี่ของ iPhone 13 Pro เนื่องจากทาง Apple ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอย่างชัดเจน แต่มีการให้ข้อมูลจาก Apple ว่า iPhone รุ่นใหม่ของปีนี้มีแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ทาง Apple ยังกล่าวด้วยว่า iPhone 13 Pro สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone 12 Pro ถึง 1.5 ชั่วโมง ทีมงานของเราได้ลองทดสอบด้วยการใช้ท่องเว็บจนแบตเตอรี่หมด และพบว่าแบตเตอรี่ใช้ได้นานขึ้นอย่างที่แจ้งไว้จริง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น เพราะก่อนหน้านี้ทางแบรนด์จะไม่ได้เน้นคุณสมบัติส่วนนี้ซักเท่าไหร่
แน่นอนว่าแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นใน iPhone 13 Pro ทำให้อายุการใช้งานของโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเกือบ 3 ชั่วโมงจากรุ่นก่อน และยังนานกว่า Galaxy S21 Plus อีกประมาณ 2 ชั่วโมงด้วย เราได้ผลลัพธ์เวลารวมที่ 11 ชั่วโมง 42 นาที จากการทดสอบ เทียบกับ iPhone รุ่นก่อนหน้าที่ใช้ได้ 9 ชั่วโมง 6 นาที และ Galaxy S21 Plus ที่ใช้ได้ 9 ชั่วโมง 41 นาที
อายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการอัปเกรดเป็นเครื่องใหม่ ทั้งนี้ iPhone 13 Pro เป็นโทรศัพท์ที่มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดในรีวิวของเรา แม้จะมีจอแสดงผลแบบปรับได้ และรองรับการเชื่อมต่อ 5G ที่ใช้พลังงานมาก ก็ยังมีอายุแบตเตอรี่ยาวนาน และเป็นการพัฒนาที่น่าประทับใจจาก iPhone 12 Pro และรุ่นคู่แข่งอย่าง Galaxy S21 Plus ก็ไม่สามารถเอาชนะได้
น่าเสียดายที่ Apple ไม่ได้พัฒนาการชาร์จเร็วเอาไว้ด้วย บน iPhone 13 Pro มีการจำกัดการชาร์จที่ 20W แบบมีสาย และ 15W ผ่าน MagSafe ซึ่งเป็นจุดที่ควรปรับปรุงเมื่อเทียบกับ OnePlus 9 Pro ที่สามารถชาร์จแบบมีสายได้ถึง 65W และแบบไร้สาย 50W และ Xiaomi ที่ชาร์จได้สูงสุด 120W เมื่อเทียบเวลาการชาร์จ 30 นาทีแล้ว โทรศัพท์รุ่นใหม่ของ Apple นั้นค่อนข้างน่าผิดหวัง เพราะมีพลังงานเพียง 53% เท่านั้น
iPhone 13 Pro ยังคงใช้สาย Lightning แทน USB-C ซึ่งยังใช้ใน iPad รุ่นใหม่เช่นกัน และจะไม่มีที่ชาร์จมาในกล่องให้เช่นเดียวกับ iPhone 12 ของปีที่แล้ว
รีวิว iPhone 13 Pro: ซอฟต์แวร์และ iOS 15
iPhone 13 Pro มาพร้อมกับระบบ iOS 15 ที่ดาวน์โหลดไว้แล้ว ซึ่งเราได้ครอบคลุมรายละเอียดระบบปฏิบัติการมือถือรุ่นล่าสุดนี้ของ Apple ไว้ตั้งแต่ได้ลองใช้เวอร์ชันทดสอบเมื่อกลางปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงคุณสมบัติที่น่าสนใจ ทั้ง การปรับแต่งการแจ้งเตือน การค้นหาข้อความและภาพ การปรับปรุงเสียงและวิดีโอบน FaceTime รวมทั้งการปรับปรุงแอปหลักอีกหลาย ๆ ตัว
ทีมงานของเราไม่พบว่ามีคุณสมบัติไหนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ iPhone 13 (นอกเหนือจากกล้องและวิดีโอที่ได้พูดถึงก่อนหน้านี้) แต่เราคิดว่า iOS 15 จะทำงานได้ดีที่สุดบน iPhone 13 Pro ด้วยจอแสดงผล ProMotion และชิป A15 Bionic ที่รองรับประสิทธิภาพการใช้งานที่เหนือชั้นขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่โทรศัพท์รุ่นใหม่ที่สุดจะรองรับระบบใหม่ได้ดีที่สุด
รีวิว iPhone 13 Pro: ประสิทธิภาพการทำงาน
ชิปเซ็ตใหม่ของ iPhone 13 ทุกรุ่นจะเป็น A15 Bionic ที่มีซีพียู 6 คอร์และ GPU 5 คอร์สำหรับในรุ่น Pro รวมถึง Neural Engine ที่อัปเกรดแล้ว (ส่วน iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะใช้ GPU 4 คอร์) ด้วยการใช้งานกับ RAM ขนาด 6GB ทำให้ iPhone 13 Pro ทรงพลังยิ่งกว่าอุปกรณ์ Android ที่ดีที่สุดรุ่นอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน แถมชิปเซ็ต A15 ก็ยัง Snapdragon 888 ซึ่งเป็นชิปที่แรงที่สุดจาก Android ในตอนนี้ด้วย
ความสามารถด้านกราฟิกของ iPhone 13 Pro ก็โดดเด่นเช่นกัน โดย Apple อ้างว่า GPU ใน A15 Bionic นั้นเร็วกว่าคู่แข่งถึง 50% (ซึ่งเราเข้าใจว่าเทียบกับ Snapdragon 888 และ Adreno 660 GPU) เราไม่สามารถวัดค่าตามจริงได้สำหรับการเล่นเกม เนื่องจากระบบ iOS ล่าสุดจะปิดการติดตามความเร็วตามอัตราเฟมของเกมที่เล่น อย่างไรก็ตาม ทีมงานของเราได้ลองใช้ iPhone 13 Pro เล่นเกมอย่าง Genshin Impact และ Asphalt 9 ซึ่งได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม
iPhone 13 Pro | Galaxy S21 Plus | iPhone 12 Pro
Geekbench 5 (ซิงเกิลคอร์ / มัลติคอร์): 1733 / 4718 | 1116 / 3300 | 1585 / 3669
Adobe Premiere Rush (นาที:วินาที): 0:26 | 1:00 | 0:27
3DMark Wild Life Unlimted (คะแนน / FPS): 11,963 / 70 | 5571 / 33.3 | 8619 / 51
3DMark Wild Life Extreme Unlimited (คะแนน / FPS): 2766 / 16.5 | 1447 / 8.5 | ไม่ได้ทดสอบ
เราได้รวม iPhone 12 Pro เอาไว้ในการเปรียบเทียบผลลัพธ์จากการทดสอบเกณฑ์การใช้งาน เพื่อให้คุณได้เห็นการปรับปรุงจากรุ่นก่อน ชิปเซ็ต A15 Bionic นั้นนำหน้าทั้ง A14 และ Snapdragon 888 ใน Galaxy S21 Plus ไปหลายก้าว ตอนนี้จึงไม่มีอุปกรณ์ Android ไหนเลยที่เทียบ iPhone ที่ใช้ชิป A15 ได้ ทั้งจากผลทดสอบและการใช้งานในชีวิตจริง
เราได้ทดลองการแปลงไฟล์โดยใช้ Adobe Premiere Rush พร้อมจับเวลาขณะแปลงรหัสไฟล์วิดีโอจาก 4K เป็น 1080p เวลาที่ได้จาก iPhone 12 Pro คือ 27 วินาที ซึ่งใกล้เคียงมากกับรุ่นใหม่อย่าง iPhone 13 Pro ที่ใช้เวลาเพียง 26 วินาที ในขณะที่ Galaxy S21 Plus นั้นแพ้ราบคาบ ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำของ Apple
Wild Life ของ 3DMark เป็นเกณฑ์มาตรฐานด้านกราฟิกที่เราใช้ทดสอบ ซึ่งเราได้ทดลองอุปกรณ์กับเกณฑ์มาตรฐานและ Extreme Unlimited ที่เป็นกราฟิกความละเอียดสูง แม้แต่ iPhone 13 Pro ก็ได้คะแนนค่อนข้างน้อย แต่อัตราเฟรมเฉลี่ยในการทดสอบ Wild Life Unlimited ดั้งเดิมนั้นแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาจาก A14 อย่างมาก และยังเอาชนะ Galaxy S21 Plus อย่างทิ้งห่างด้วย
จากผลการทดสอบทั้งหมดนี้ คุณจะเห็นได้ว่า iPhone 13 Pro เป็นโทรศัพท์ที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน (เช่นเดียวกับรุ่นใหญ่อย่าง iPhone 13 Pro Max) แน่นอนว่าอุปกรณ์จาก Android และระบบอื่น ๆ ก็มีความโดดเด่นที่น่าสนใจเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แต่ถ้าพูดถึงระบบปฏิบัติการและชิปเซ็ตแล้ว ก็ต้องยกให้ Apple
รีวิว iPhone 13 Pro: บทสรุป
iPhone 13 Pro และรุ่นพี่อย่าง Pro Max ถือเป็นหนึ่งในโทรศัพท์ที่ดีที่สุดที่คุณสามารถซื้อได้ในขณะนี้ รุ่น Pro ที่มีขนาดเล็กกว่าจะเหมาะมากถ้าคุณชอบขนาดเหมาะมือ ไม่ใหญ่เกินไป มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่สำคัญ และยังได้รับกล้องที่สวยงาม ทำให้คุณสามารถใช้ iPhone 13 Pro บันทึกภาพถ่ายและวิดีโอได้อย่างมืออาชีพ
สิ่งที่ควรปรับปรุงในรุ่นนี้คือ การนำ Touch ID กลับมาใช้ และการชาร์จเร็วที่เทียบเท่ารุ่นคู่แข่ง การถอดหน้ากากเพื่อปลดล็อก iPhone 13 Pro และ Apple Pay สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่เราต้องสวมหน้ากากอนามัยอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นสิ่งที่อาจทำให้คุณรู้สึกรำคาญ แต่ถ้าดูคุณสมบัติอื่น ๆ ร่วมด้วยแล้ว iPhone 13 Pro ก็มีทุกอย่างที่ทำให้คุณพอใจได้
สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานโทรศัพท์ที่ดีที่สุด ราบรื่นที่สุด และคุ้นเคยกับ iOS อยู่แล้ว iPhone 13 Pro จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง