หากพูดถึงบริษัทสมาร์ทโฟนค่ายดัง แน่นอนว่าหนึ่งในแบรนด์ที่ขึ้นมาในหัวของหลาย ๆ คนคงไม่พ้น Apple ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของ iPhone ที่เราหลาย ๆ คนชื่นชอบและคลั่งใคล้กันอยู่นั่นเอง ในปัจจุบัน iPhone ได้ทำการเปิดตัวถึงรุ่น 14 ด้วยระยะเวลาประมาณสิบกว่าปี และได้ทำการเปิดตัว iPhone มาหลากหลายรุ่นซึ่งเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมาก ๆ ในวงการสมาร์ทโฟน อีกทั้งยังถือว่าเป็นต้นแบบของสมาร์ทโฟนอื่น ๆ ในท้องตลาดปัจจุบันอีกด้วย
ประวัติ iPhone จากค่ายสมาร์ทโฟนชื่อดัง Apple
Credit: bbc.com
แม้ว่า iPhone จะไม่ใช่สมาร์ทโฟนแบบหน้าจอทัชสกรีนเครื่องแรกของโลก แต่เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่จุดประกายความเป็นสมาร์ทโฟนปัจจุบันอย่างที่เราเห็นวางขายตามท้องตลาดกันในทุกวันนี้
iPhone หรือไอโฟนที่เราคุ้นเคยกันดีนั้น เป็นสมาร์ทโฟนมากความสามารถที่ใช้งานได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานเกี่ยวกับมีเดีย การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ รวมไปถึงการเชื่อมต่อกัยอุปกรณ์อื่น ๆ ในเครือบริษัทเดียวกันได้อย่างง่ายดาย โดย iPhone รุ่นแรกของ Apple ได้ทำการเปิดตัวโดย Steve Jobs ในงาน Mac World เมื่อวันที่ 9 มกราคม ปี 2007 และวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนในปีเดียวกัน และครองตำแหน่งสิ่งประดิษฐ์ยอดเยียมประจำปี 2007 โดยนิตยสาร Time
สิ่งที่ทำให้ iPhone ดูโดดเด่นเป็นพิเศษกว่าโทรศัพท์มือถือในยุคนั้น ๆ คือ การที่มันไม่มีปุ่มกดใด ๆ แต่ใช้การแตะหน้าจอเพื่อควบคุมการใช้งานผ่านหน้าจอ ในยุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สร้างกระแสตอบรับจากผู้บริโภคได้อย่างเนืองแน่นจนทำให้ค่ายผลิตโทรศัพท์หลาย ๆ เจ้าต่างเปลี่ยนรูปแบบโทรศัพท์ให้กลายมาเป็นสมาร์ทโฟนไร้ปุ่มกดเหมือนอย่างที่ไอโฟนทำ
สรุปรวม iPhone 1 ถึง iPhone 14 ทั้งหมด
อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าทุกคนคงอยากรู้แล้วว่าตั้งแต่ iPhone 1 ถึง iPhone 14 รุ่นไหนมีความโดดเด่นด้านใดบ้าง และมีการพัฒนาตามกาลเวลาอย่างไร วันนี้ Proreview ได้มารวบรวมไทม์ไลน์ตั้งแต่ iPhone 1 ถึง iPhone 14 ครบทุกรุ่น มาดูกันว่ารุ่นไหนน่าสนใจบ้าง
ปี 2007 – iPhone 1/iPhone 2G
ไอโฟนรุ่นแรกจากค่ายแอปเปิลที่ถูกออกแบบมาให้ควบคุมการใช้งานผ่านการสัมผัสผ่านหน้าจอ สมัยนั้นคือเป็นอะไรที่ใหม่และเท่มาก ๆ เพราะยังไม่มีโทรศัพท์รุ่นไหนที่วางขายในท้องตลาดและเป็นที่นิยมเท่ารุ่นนี้มาก่อน สมาร์ทโฟนรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อระบบ GPRS EDGE หรือที่เรียกว่า 2G ในสมัยนั้น
ปี 2008 – iPhone 3G
และเนื่องจากความฮ็อตและความเป็นที่นิยมของสมาร์ทโฟนรุ่นที่แล้ว ทำให้ค่ายบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์และคู่แข่งอื่น ๆ ในสมัยนั้นต่างก็โจมตี iPhone รวมไปถึงพยายามหาข้อติในตัวสมาร์ทโฟนรุ่นนั้น แต่ทาง Apple ก็ไม่หวั่น ทำการเปิดตัว iPhone 3G ออกมาเพื่อพัฒนาข้อด้อยเหล่านั้นให้ดีมากยิ่งขึ้น
iPhone 3G มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซลไม่ต่างจากรุ่น iPhone 2G แต่มาพร้อมกับแรมขนาด 128MB และมาพร้อมกับหน่วยความจำให้เลือก คือ 8G และ 16G ซึ่งเรียกกระแสฮือฮาในหมู่ผู้บริโภคอีกครั้งในยุคนั้น นอกจากนี้ ยังรองรับการเชื่อมต่อระบบแบบ 3G อีกด้วย
ปี 2009 – iPhone 3GS
สำหรับ iPhone 3GS นั้น เป็นรุ่นที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก iPhone 3G ซึ่งมอบประสิทธิภาพและความเร็วที่มากกว่ารุ่นก่อน โดยมีการใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่หาไม่ได้ในรุ่นก่อน ๆ เป็น RM Cortex-A8 และมีแรมแบบ DRAM ขนาด 256MB
ไอโฟนรุ่นนี้ไม่ได้เปลี่ยนเพียงแค่ชิปเซ็ตและขนาดของแรมเพียงเท่านั้น แต่ได้มีการเปลี่ยนแผงหน้าจอแสดงผลใหม่เป็น LCD 24 Bit เปลี่ยนความชัดกล้องเป็น 3 ล้านพิกเซลพร้อมความสามารถในการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 480p
ปี 2010 – iPhone 4
ไอโฟน 4 เป็นรุ่นที่ทาง Apple เริ่มใส่ฟีเจอร์เพื่อการใช้งานด้านมัลติมีเดียมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือการใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยในรุ่นนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนการออกแบบตัวเครื่องใหม่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวเครื่อง อีกทั้งยังเป็นรุ่นแรกที่ใช้ชิป A4 ที่ผลิตโดย Apple เอง
ตัวเครื่องมาพร้อมกับแรม 512MB และมีหน่วยความจำให้เลือก 3 แบบ คือ 8G, 16G, และ 32G และที่เด็ดไปมากกว่านั้น คือ เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มีกล้องหน้าและกล้องหลังในเครื่องเดียวกัน โดยกล้องหน้ามีความคมชัดที่ 0.3 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 480p ส่วนกล้องหลังมีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 720p และมีฟีเจอร์ FaceTime เป็นครั้งแรกอีกด้วย
ปี 2011 – iPhone 4S
เนื่องจากรุ่นที่แล้วทางบริษัทพบรายงานมาว่ามีปัญหาการรับสัญญาณได้ไม่เสถียร จึงได้ปรับเปลี่ยนระบบประมวลผลไปใช้ชิปเซ็ต 5A แทนในไอโฟนรุ่นนี้ และเพิ่มหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมา คือ 64GB และมีการเพิ่มความชัดของกล้องหลังเป็น 8 ล้านพิกเซล พร้อมความสามารถในการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 1080p
ปี 2012 – iPhone 5
iPhone 5 ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ดูบางลง สลิมลง ดูยาวขึ้น และดูสวยแพงมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ ไอโฟนรุ่นนี้ใช้ชิปเซ็ต Apple A6 1.3 GHz dual core มาพร้อมกับแรมขนาด 1GB และตัวเลือกความจุ 3 ตัวเลือก คือ 16GB, 32GB และ 64GB
กล้องด้านหลังสำหรับไอโฟนรุ่นนี้ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเรื่องความคมชัด แต่สำหรับกล้องหน้าได้รับการอัปเกรดให้มีความคมชัดที่ 1.2 ล้านพิกเซล และสามารถถ่ายวิดีโอที่ 720p นอกจากนี้ ยังเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่ทำการเชื่อมต่อสัญญาณแบบ 4G
ปี 2013 – iPhone 5S
หากดูผ่าน ๆ iPhone 5S นั้นดูไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก iPhone 5 แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือประสิทธิภาพของกล้องซึ่งมาพร้อมกับโหมดการถ่าย slow-motion อีกทั้งยังเพิ่มแฟลช Dual Flash LED สำหรับการถ่ายรูปในที่แสงน้อย แต่หากมีการอัปเกรดเพียงเท่านี้ ก็คงไม่เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมากนัก ทางแบรนด์จึงมีการอัปเกรดรูรับแสงของกล้องจาก f/2.4 เป็น f/2.2
iPhone 5S ใช้ชิปเซ็ต A7 รองรับฟังก์ชั่น Touch ID หรือการแสกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกตัวเครื่อง ไอโฟนรุ่นนี้ยังมีสีทองให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ชอบใช้สีเข้ม ๆ อีกด้วย
ปี 2013 – iPhone 5C
iPhone 5C เปิดตัวพร้อม ๆ กับ iPhone 5S โดยมีความแตกต่างกันที่ประสิทธิภาพและหน่วยความจำ โดยรุ่นนี้จะใช้ชิปเซ็ต A6 ไม่มีฟังก์ชั่น Touch ID หรือการแสกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกตัวเครื่อง และคุณภาพกล้องถ่ายรุปและกล้องวิดีโอก็เหมือน ๆ กันกับรุ่น iPhone 5
ปี 2014 – iPhone 6 Series
สำหรับรุ่น 6 Series นั้น ได้เปิดตัวออกมาเป็น 2 รุ่น คือ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus โดยมาพร้อมกับระบบประมวลผลที่ยอดเยี่ยมและรวดเร็วมากขึ้น มีการปรับปรุงการเชื่อมต่อ 4G และไวไฟที่ดีมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่ากล้องหลังจะมีความละเอียดเท่าเดิมคือที่ 8 ล้านพิกเซล แต่การถ่ายวิดีโอนั้นมีความละเอียดมากยิ่งขึ้นที่ 1080p 60 เฟรม 720p 120 เฟรม และ 720p 240 เฟรม
ปี 2015 – iPhone 6S Series
iPhone 6S Series มาพร้อมกับรุ่น 6S และ 6S Plus เป็นการต่อยอดมาจากรุ่น iPhone 6 ที่เปลี่ยนมาใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงและทนทานมากยิ่งขึ้น มีการใช้ชิปเซ็ต A9 รุ่นใหม่ และเพิ่มความคมชัดของกล้องเป็น 12 ล้านพิกเซล แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือวิดีโอที่สามารถถ่ายได้ด้วยความคมชัด 4K และมีการเพิ่มระบบสัมผัสแบบ 3D Touch เข้ามา
ปี 2016 – iPhone SE
SE เป็นรุ่นที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น 5S เรียกได้ว่ามีความเหมือนกันอย่างกับฝาแฝดในเรื่องของภาพลักษณ์ภายนอก แต่มีการนำวัสดุฮาร์ดแวร์ของ 6S มาใช้ สิ่งที่แตกต่างระหว่าง iPhone SE กับรุ่น 5S และ 6S คือเรื่องของกล้องหน้าที่มีความละเอียดน้อยกว่าเดิม คืออยู่ที่ 1.2 ล้านพิกเซลเท่านั้น
ปี 2016 – iPhone 7 Series
iPhone 7 Series มาพร้อมกับรุ่น iPhone 7, iPhone 7 Pro และ 7 Plus โดยทั้งสองรุ่นนี้มีคุณสมบัติสุดเจ๋งอย่างคุณสมบัติการกันน้ำและกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 เพิ่มเข้ามา อีกทั้งยังเปลี่ยนชิปเซ็ตใหม่ไปใช้ A10 Fusion และถือเป็นรุ่นแรกที่มีการเปลี่ยนหูฟังจาก 3.5mm มาเป็นการใช้พอร์ต Lightning
สำหรับเรื่องตัวกล้องนั้นได้ทำการอัปเกรดกล้องหน้าให้มีความคมชัดที่ 7 ล้านพิกเซล และถึงแม้ว่ากล้องหลังจะชัดเท่าเดิม แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือการเพิ่มเลนส์ถ่ายรูปเข้าไป 6 เลนส์ รูรับแสง f/1.8 ในรุ่น iPhone 7 และมีการเพิ่มกล้องคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์เทเทโฟโต้ในรุ่น iPhone 7 Plus
ปี 2017 – iPhone 8 Series
iPhone 8 Series มาพร้อมกับรุ่น iPhone 8 และ 8 Plus โดยมีลักษณะภายนอกเหมือนกันกับรุ่น 7 Series ทุกประการ แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือกระจกนิรภัยทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวเครื่อง จึงทำให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่น่าทึ่งและน่าสนใจในรุ่นนี้คือฟังก์ชั่นการชาร์จแบบไร้สาย โหมดการถ่ายรูปที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และการเปลี่ยนไปใช้ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic ที่ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานดีขึ้นแต่กินแบตน้อยลง
ปี 2017 – iPhone X
iPhone X ได้ถูกขนานนามว่าเป็นสมาร์ทโฟนในระดับไฮเอ็นด์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้น โดยมีการใช้หน้าจอแสดงผลแบบ OLED และมีการออกแบบให้ขอบจอดูเล็กลง เอาปุ่มโฮมออก และเพิ่มพื้นที่ของขนาดหน้าจอให้มากขึ้น กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซลเป็นกล้องคู่ประกอบด้วยเลนส์ 6 ตัว ส่วนกล้องหน้า 7 ล้านพิกเซลที่มาพร้อมโหมด TrueDepth อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Face ID เพื่อสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกตัวเครื่อง
ปี 2018 – iPhone XS Series
iPhone XS Series มาพร้อมกับรุ่น iPhone Xs และ iPhone Xs Max ถือเป็นรุ่นที่สานต่อความสำเร็จจากรุ่น X มีการใช้แผงหน้าจอ Super Retina และเป็นรุ่นที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดในช่วงนั้น ตัวเครื่องมีความสวยงาม รองรับการแสดงผลแบบ HDR และมีลำโพงสเตอริโอแบบคู่ เหมาะสำหรับการใช้เพื่อความบันเทิง
ในโหมดถ่ายรูปเรียกได้ว่ามีอะไรใหม่ ๆ ให้ลองเล่น เพราะมีโหมด Smart HDR ที่ช่วยให้การถ่ายรูปในสภาพแสงต่าง ๆ ได้ดีกว่าเดิมและได้แสงและเงาที่ดูสมจริง อีกทั้งยังสามารถปรับค่ารูรับแสงไปที่ f/1.4 ไปจนถึง f/16 เพื่อให้ได้รูปถ่ายหน้าชัดหลังเบลอเหมือนกับการถ่ายด้วยกล้องจริง ๆ
ปี 2018 – iPhone XR
เป็นรุ่นที่เปิดตัวมาด้วยสีสันตัวเครื่องที่หลากหลาย เป็นรุ่นประหยัดของปีที่มีเลนส์กล้องหลังขนาดใหญ่และสามารถกันน้ำได้ตามมาตรฐาน IP67 หน้าจอแสดงผลเป็นแบบ LCD สามารถสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกตัวเครื่องได้ ชิปประมวลผลเป็นแบบ A12 Bionic และจุดเด่นของรุ่นนี้ต้องยกให้กล้องหลังที่มีเลนส์ไวด์ความคมชัด 12 ล้านพิกเซลและระบบภาพกันสั่นเพื่อให้ได้รูปภ่ายที่ชัดเจน
ปี 2019 – iPhone 11 Series
iPhone 11 Series มาพร้อมกับรุ่น iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max โดยความแตกต่างระหว่าง iPhone 11 กับ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max อยู่ที่ตัวกล้อง เพราะ iPhone 11 มาพร้อมกับกล้อง 2 เลนส์ และ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับกล้อง 3 เลนส์ สิ่งที่น่าสนใจคือ Night Mode ที่ดีกว่าเดิม ทำให้สามารถถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ชัดเจนและสวยงาม
สำหรับด้านประสิทธิภาพการทำงานตัวเครื่องนั้น iPhone 11 Series ใช้ชิปประมวลผล A13 Bionic คู่ไปกับ CPU ที่ทาง Apple เคลมว่าทำงานได้เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ แบตเตอรี่ยังมีความอึด ถึก และทนกว่ารุ่นก่อน ๆ อีกด้วย
ปี 2020 – iPhone SE รุ่น 2
เปิดตัวมาอีกครั้งกับสมาร์ทโฟนรุ่นประหยัดของค่าย ด้วย iPhone SE รุ่น 2 ที่มาพร้อมกับจอเรตินา HD และมีฟังก์ชั่น Touch ID มาให้ด้วย ประสิทธิภาพของตัวเครื่องทำงานด้วยชิปเซ็ต A13 Bionic และระบบกล้องเดี่ยวที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุดเท่าที่ iPhone เคยทำมา นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังถูกออกแบบมาให้ทนน้ำทนฝุ่นอีกด้วย ถือเป็นเครื่องที่คุ้มค่า มาในราคาสุดย่อมเยาว์ที่ใคร ๆ ก็เอื้อมถึงได้
ปี 2020 – iPhone 12 Series
iPhone 12 Series เป็นรุ่นที่แตกออกมาแยกย่อยเยอะที่สุด โดยมาพร้อมกับรุ่น iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max โดยทุกรุ่นใช้หน้าจอ OLED ทั้งหมด และใช้ชิปเซ็ตประมวลผล A14 Bionic ซึ่งใช้ใน iPad Air 4
สำหรับตัวกล้องนั้น iPhone 12 และ iPhone 12 mini จะมีเลนส์สองตัว ส่วน iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีเลนส์สามตัว พร้อม LiDar Scanner ที่ใช้ในการตรวจจับวัตถุแบบสามมิติ
ปี 2021 – iPhone 13 Series
ไม่ต่างกันกับ 12 Series เพราะรุ่นนี้ก็มาพร้อมกับรุ่นที่แตกแยกย่อยออกมา โดยมาพร้อมกับรุ่น iPhone 13, iPhone 13 mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max และมีรูปลักษณ์ภายนอกแทบจะเหมือนกับ 12 Series ทุกประการ แต่ตัวกล้องด้านหลังใหญ่ขึ้น และรอยบากบนหน้าจอเล็กลง นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงลำโพงไปไว้ที่ด้านบนตัวเครื่อง และย้ายกล้องหน้าและฟังก์ชั่น Fave ID มาไว้ตรงกลางที่ด้านบนของตัวเครื่องแทน
iPhone 13 Series มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล A15 Bionic และในรุ่น Pro และ Pro Max ก็มีชิป ISP ที่ช่วยให้ถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นพร้อมมอบสีสันที่ดูสดใสในสภาพแสงตอนกลางวัน นอกจากนี้ ยังสามารถถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic Mode ได้อีกด้วย
ปี 2022 – iPhone SE รุ่น 3
กลับมาอย่างสมคำรอคอยกับ iPhone SE รุ่น 3 รุ่นประหยัดของทางแบรนด์ โดยการเปลี่ยนแปลงในรุ่นนี้จะอยู่ที่ชิปเซ็ตการประมวลผลรุ่นใหม่ที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G และฟีเจอร์การถ่ายภาพต่าง ๆ ก็ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ปี 2022 – iPhone 14
iPhone 14 เป็นรุ่นที่มีลักษณะภายนอกเหมือนกับ 13 ทุกประการ ยกเว้นขนาดที่ใหญ่มากขึ้น รุ่นนี้มีรุ่นแตกย่อยออกมา 4 รุ่นเช่นเดียวกัน คือ iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max แต่สำหรับรุ่น Pro นั้นอาจมีความแตกต่างเล็กน้อย เพราะมี Dynamic Island ที่ช่วยสามารถปรับการทำงานและการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้อย่างลงตัวระหว่างตัวซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
และสำหรับสาวกที่ชอบการถ่ายรูป ต้องบอกเลยว่าตระกูล Pro ในรุ่นนี้มีกล้องความคมชัดมากถึง 48 ล้านพิกเซลพร้อมเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ระบบป้องกันภาพสั่นไหว และระบบที่ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดี
เพิ่มเติมจาก Apple และสมาร์ทโฟน:
ดูรุ่นล่าสุดของ iPhone ในหน้ารีวิว
สมาร์ทโฟนยี่ห้อไหนดีสำหรับปีนี้? ดูข่าวล่าสุด
หากคุณสนใจแท็บเล็ต Apple – ดู iPads ล่าสุดที่ได้รับการตรวจสอบสำหรับปีนี้